นงนุช สิงหเดชะ : งานท้าทายของ "พล.อ.ประยุทธ์" ต้องพิสูจน์ว่าทหารรู้เรื่องเศรษฐกิจ มติชนออนไลน์
ได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 29 ไปแล้วเมื่อวันที่ 25 สิงหาคมที่ผ่านมา
สำหรับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อันหมายถึงการขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างเป็น
ทางการ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ การดำรงตำแหน่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
ก็เสมือนการเป็นนายกรัฐมนตรีโดยพฤตินัยอยู่แล้ว
โดยปกติการรัฐประหาร ในรอบไม่กี่ครั้งที่ผ่านมา หัวหน้าคณะรัฐประหารมักถูกต่อต้านจาก
ประชาชนไม่ให้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี หรือบางทีก็ไม่กล้าขึ้นเป็นนายกฯ เสียเองเพราะเกรง
จะถูกครหาว่ายึดอำนาจเพื่อตัวเอง
แต่สถานการณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ ต่างออกไป เนื่องจากเข้ามาในสถานการณ์พิเศษเพราะ
ความจำเป็น
จึงกลายเป็นว่าได้รับเสียงเชียร์อย่างหนาแน่นจากประชาชนมาอย่างต่อเนื่องให้เป็นนายกรัฐมนตรี
เพราะพอใจผลงานในช่วงที่เป็นหัวหน้าคสช.
แต่แรงเสียดทานถ่วงแข้งถ่วงขาก็มีอยู่ไม่น้อยโดยเฉพาะกลุ่มการเมืองที่เสียประโยชน์จากการยึดอำนาจ
กำลังนั่งนับวันนับคืนให้ พล.อ.ประยุทธ์ สะดุดขาตัวเองยิ่งเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี เพื่อพวกเขาจะได้คืนสู่อำนาจอีกครั้ง
กระแสข่าวบอกว่าคนแดนไกลประเมินว่า รัฐบาลประยุทธ์ จะเผชิญปัญหาเศรษฐกิจ จนสุดท้ายประชาชน
จะออกมาต่อต้าน โดยอ้างว่าจากการส่งคนไปสำรวจในพื้นที่พบว่าเม็ดเงินที่ชาวนาได้รับจากการจำนำ
ข้าวที่ คสช. ได้ดำเนินการจ่ายครบแล้วเกือบ 1 แสนล้านบาท จะไม่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างที่ คสช.
คาด เพราะชาวนานำเงินที่ได้ไปใช้หนี้ที่กู้มาในช่วงที่ไม่ได้รับเงินค่าจำนำข้าว (จากรัฐบาลยิ่งลักษณ์)
จึงไม่เหลือเงินไปจับจ่ายซื้อสินค้าต่างๆ
นอกจากนี้ ทีมงานของคนแดนไกล ได้วิเคราะห์อีกว่า ราคายางพาราที่ตกต่ำ จะทำให้ชาวบ้านไม่มีเงิน
ไปผ่อนรถยนต์หรือค่าสินค้าต่างๆ สุดท้ายก็จะจุดกระแสไม่พอใจรัฐบาล
ส่วนทางด้านท่องเที่ยว คนแดนไกลเชื่อว่ารายได้ท่องเที่ยวจะหายไปมาก เพราะหลังมีรัฐประหารและ
กฎอัยการศึก ทำให้นักท่องเที่ยวลดลงมาก เนื่องจากบริษัทประกันภัยจะไม่จ่ายเงินให้กับผู้เอาประกันที่มา
ท่องเที่ยวในประเทศที่มีอัยการศึก
ว่ากันว่าด้วยเหตุผลข้างต้นจึงทำให้คนแดนไกลสั่งให้ลูกน้องในเมืองไทยอยู่เงียบๆไม่ออกมาเคลื่อนไหว
ต่อต้านคสช.เพียงแต่รอเวลาให้ คสช. สะดุดขาตัวเองก็พอ เพราะเชื่อว่า คสช. จะอยู่ได้ไม่เกิน 1 ปี
ดูไปดูมานักการเมืองบ้านเราเลือดเย็นกับประเทศชาติอยู่ไม่น้อย เพราะคล้ายจะดีอกดีใจ นั่งนับวันนับคืน
ให้รัฐบาลประยุทธ์บริหารประเทศไม่สำเร็จ เศรษฐกิจไม่รุดหน้า โดยที่ไม่รู้สึกผิดหรือรู้สึกรู้สาว่าปัญหา
บ้านเมือง เศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ตัวเองก็มีส่วนอย่างมากในการก่อปัญหา
อย่างเรื่องเงินค่าจำนำข้าว รัฐบาลไหนล่ะที่ทำให้ชาวนาผูกคอตายไปกว่า 10 ราย เพราะไม่ได้รับเงิน
ค่าจำนำข้าวจนต้องไปกู้หนี้ยืมสิน
แต่เมื่อ คสช. มาปลดล็อกและสามารถจ่ายเงินให้ชาวนาได้ ใครบางคนกลับดีใจที่ชาวนาจะไม่เหลือเงิน
ไปจับจ่ายซื้อสินค้าเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเพราะต้องนำไปใช้หนี้เจ้าหนี้หมด
หรืออย่างเรื่องท่องเที่ยวลืมไปแล้วหรือว่านักท่องเที่ยวเลิกมาเมืองไทยตั้งแต่รัฐบาลของน้องสาว
คนแดนไกลออกพ.ร.ก.ฉุกเฉินเมื่อต้นปีนี้แล้ว เพราะบริษัททัวร์ไม่กล้าพานักท่องเที่ยวมาเที่ยว
อีกทั้งในช่วงนั้นเกิดความไม่ปลอดภัย เพราะคนในเครือข่ายของคนแดนไกลใช้อาวุธสงครามร้ายแรง
ถล่มกรุงเทพฯ ฆ่าคนทุกวัน นักท่องเที่ยวที่ไหนจะมา
หลัง คสช. ยึดอำนาจและบ้านเมืองสงบต่างหากที่นักท่องเที่ยวเริ่มกลับมาเมืองไทย
จริงอยู่ การมีกฎอัยการศึกก็เป็นอุปสรรคส่วนหนึ่งที่ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวไม่ฟื้นกลับมามากในระดับเดิม
แต่ถ้าเทียบแล้วยังมีความปลอดภัยกว่าสมัยของรัฐบาลน้องสาวคนแดนไกล
ส่วนยอดขายรถยนต์ที่ดิ่งหนักในครึ่งปีแรกก็เป็นฝีมือของรัฐบาลน้องสาวคนแดนไกลจากโครงการ
รถยนต์คันแรกที่ไปสร้างความต้องการเทียมขึ้นมาโดยไปดึงเอาความต้องการซื้อใน2-3 ปีข้างหน้า
มาใช้ให้หมดในปีเดียว
ผลก็เป็นอย่างที่เห็น คือทำให้สต๊อกรถยนต์ของบริษัทรถยนต์เหลือบานเบอะ แถมมีคนทิ้งรถเพราะ
ผ่อนไม่ไหวอีกนับแสนราย
สําหรับการมีกฎอัยการศึกนั้น ก็ต้องย้อนกลับไปถามอีกเช่นกันว่าใครบ้างที่เป็นต้นเหตุ จะมีใครฝ่ายเดียว
ปฏิเสธความรับผิดชอบได้หรือ เพราะตอนที่ตัวเองเป็นรัฐบาล มีอำนาจ ทำไมจึงปล่อยให้มีการใช้อาวุธ
สงครามกันแบบไม่กลัวกฎหมาย
ขณะเดียวกัน หากยกเลิกกฎอัยการศึก อาจมีความเสี่ยงที่สถานการณ์จะกลับไปเหมือนเดิม คือมีการชุมนุมอีก
ซึ่งก็จะทำให้ความเชื่อมั่นของต่างชาติหายไปได้อีกเหมือนกัน ดังนั้น การยกเลิกกฎอัยการศึก จึงต้องชั่ง
น้ำหนักให้ดีและตัดสินใจยากพอสมควร
หากไม่ยกเลิก ก็จะทำให้ต่างชาติยังไม่กล้าเข้ามาลงทุนเต็มที่ เช่นการลงทุนในตลาดหุ้น แต่หากยกเลิก
และเกิดการชุมนุมและมีความรุนแรงอีก สิ่งที่จะหายไปทันทีคือนักท่องเที่ยวต่างชาติ ดังนั้น หากไม่ยก
เลิกกฎอัยการศึก คสช. และรัฐบาลก็ต้องแก้เกมตรงนี้ให้ได้
การที่ซีกการเมืองที่เสียประโยชน์จากการยึดอำนาจ ออกมาเรียกร้องให้เลิกกฎอัยการศึก ดูเผินๆ
อาจหวังดีว่าอยากให้ต่างชาติมองไทยดีขึ้น แต่อีกด้านหนึ่งอาจหมายถึงการเตรียมพร้อมขย้ำ ด้วย
การก่อหวอดสร้างแรงต่อต้าน คสช.
สำคัญเหนืออื่นใด คำสบประมาทข้างต้นจากฝ่ายตรงข้ามที่เชื่อว่า คสช. และรัฐบาลจะสะดุดขาตัวเอง
จากปัญหาเศรษฐกิจ เป็นสิ่งท้าทาย พล.อ.ประยุทธ์ อย่างมากว่าจะลบคำสบประมาทนั้นได้หรือไม่
คงจะดีถ้าคณะรัฐบาลชุดนี้ พิสูจน์ให้เห็นว่าทหารก็รู้เรื่องเศรษฐกิจ เข้าใจโลกทุนนิยม ตามกระแสโลกทัน
ไวต่อการรับรู้อารมณ์ของสังคม
หากทำสำเร็จอาจเป็นข้อพิสูจน์ว่า บางทีทุนนิยมเอกชนภายใต้ระบอบประชาธิปไตยนั้นมักล้มเหลว
แบบเดียวกับที่สหรัฐอเมริกาล้มเหลวครั้งร้ายแรงในปี 2008 เมื่อเกิดวิกฤตการเงินจนถล่มโลกเกือบราบคาบ
บางทีทุนนิยมที่เรียกว่า state capitalism หรือทุนนิยมโดยรัฐยุคใหม่ภายใต้สังคมนิยม แบบเดียวกับที่จีน
ประสบความสำเร็จในการผลักดันเศรษฐกิจมาแล้ว อาจเป็นทางเลือกที่น่าจับตามอง อย่างที่ชาติตะวันตก
บางประเทศก็เริ่มให้ความสนใจแนวทางของจีน
เศรษฐกิจทุนนิยมเอกชนแบบอเมริกาภายใต้ระบอบประชาธิปไตยที่สร้างบาดแผลฉกรรจ์ให้กับหลายประเทศ
ทำให้เมื่อไม่นานมานี้นายกรัฐมนตรีฮังการี(ซึ่งปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย) ได้ออกมากล่าวว่า อยาก
จะละทิ้งประชาธิปไตยเสรีนิยมเพื่อไปเป็นประเทศที่มีเสรีภาพน้อย (แต่ประสบความสำเร็จทางเศรษฐกิจ)
อย่างจีนและรัสเซียดีกว่า
อาจารย์มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดคนหนึ่ง บอกว่าตะวันตกบางชาติ ไม่ได้มองอเมริกาเป็นแม่แบบอีกต่อไป
พวกเขากำลังมองไปที่จีน (ในแง่ความสำเร็จทางเศรษฐกิจ)
state capitalism ยุคปัจจุบันดังที่จีนและโซเวียตได้แสดงให้เห็น ไม่เหมือนกับทุนนิยมรัฐยุคโซเวียต ซึ่งบรรดา
ข้าราชการกระหน่ำสร้างโรงงานผลิตสินค้าขึ้นมาโดยไม่สนใจและไม่รู้เรื่องความต้องการของตลาด
แต่ในปัจจุบันทั้งจีนและรัสเซียแม้ผู้นำจะผูกขาดอำนาจทางการเมืองแต่ในด้านเศรษฐกิจพวกเขากลับ
รู้จักทำกำไรรู้จักดัชนีตลาดหุ้นและสนใจอัตราดอกเบี้ยโลกแบบเดียวกับที่พวกวอลล์สตรีตรู้จักหากำไร
วลาดิเมียร์ปูติน และ สี จิ้น ผิง เป็น strongmen (ผู้นำที่มีอำนาจเข้มแข็ง) ที่รู้จักตัวเลข ซึ่งหมายถึงรู้เรื่อง
เศรษฐกิจในระบบทุนนิยมนั่นเอง
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1410236417
ต้องไม่ลืม เจ๊นงนุช .... she คิดถึงแต่ คนแดนไกล ทุกลมหายใจ เข้า-ออก
ไม่รู้ได้ค่าเขียน จากค่ายไหน บ้างหรือเปล่า เขียนแล้ว ใครได้ ใครเสีย เครดิต
อ่านดูก็แล้วกัน
บทความพิเศษ/นงนุช สิงหเดชะ ...... หายใจเข้า "ยิ่งลักษณ์" หายใจออก "คนแดนไกล"
ได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 29 ไปแล้วเมื่อวันที่ 25 สิงหาคมที่ผ่านมา
สำหรับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อันหมายถึงการขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างเป็น
ทางการ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ การดำรงตำแหน่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
ก็เสมือนการเป็นนายกรัฐมนตรีโดยพฤตินัยอยู่แล้ว
โดยปกติการรัฐประหาร ในรอบไม่กี่ครั้งที่ผ่านมา หัวหน้าคณะรัฐประหารมักถูกต่อต้านจาก
ประชาชนไม่ให้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี หรือบางทีก็ไม่กล้าขึ้นเป็นนายกฯ เสียเองเพราะเกรง
จะถูกครหาว่ายึดอำนาจเพื่อตัวเอง
แต่สถานการณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ ต่างออกไป เนื่องจากเข้ามาในสถานการณ์พิเศษเพราะ
ความจำเป็น
จึงกลายเป็นว่าได้รับเสียงเชียร์อย่างหนาแน่นจากประชาชนมาอย่างต่อเนื่องให้เป็นนายกรัฐมนตรี
เพราะพอใจผลงานในช่วงที่เป็นหัวหน้าคสช.
แต่แรงเสียดทานถ่วงแข้งถ่วงขาก็มีอยู่ไม่น้อยโดยเฉพาะกลุ่มการเมืองที่เสียประโยชน์จากการยึดอำนาจ
กำลังนั่งนับวันนับคืนให้ พล.อ.ประยุทธ์ สะดุดขาตัวเองยิ่งเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี เพื่อพวกเขาจะได้คืนสู่อำนาจอีกครั้ง
กระแสข่าวบอกว่าคนแดนไกลประเมินว่า รัฐบาลประยุทธ์ จะเผชิญปัญหาเศรษฐกิจ จนสุดท้ายประชาชน
จะออกมาต่อต้าน โดยอ้างว่าจากการส่งคนไปสำรวจในพื้นที่พบว่าเม็ดเงินที่ชาวนาได้รับจากการจำนำ
ข้าวที่ คสช. ได้ดำเนินการจ่ายครบแล้วเกือบ 1 แสนล้านบาท จะไม่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างที่ คสช.
คาด เพราะชาวนานำเงินที่ได้ไปใช้หนี้ที่กู้มาในช่วงที่ไม่ได้รับเงินค่าจำนำข้าว (จากรัฐบาลยิ่งลักษณ์)
จึงไม่เหลือเงินไปจับจ่ายซื้อสินค้าต่างๆ
นอกจากนี้ ทีมงานของคนแดนไกล ได้วิเคราะห์อีกว่า ราคายางพาราที่ตกต่ำ จะทำให้ชาวบ้านไม่มีเงิน
ไปผ่อนรถยนต์หรือค่าสินค้าต่างๆ สุดท้ายก็จะจุดกระแสไม่พอใจรัฐบาล
ส่วนทางด้านท่องเที่ยว คนแดนไกลเชื่อว่ารายได้ท่องเที่ยวจะหายไปมาก เพราะหลังมีรัฐประหารและ
กฎอัยการศึก ทำให้นักท่องเที่ยวลดลงมาก เนื่องจากบริษัทประกันภัยจะไม่จ่ายเงินให้กับผู้เอาประกันที่มา
ท่องเที่ยวในประเทศที่มีอัยการศึก
ว่ากันว่าด้วยเหตุผลข้างต้นจึงทำให้คนแดนไกลสั่งให้ลูกน้องในเมืองไทยอยู่เงียบๆไม่ออกมาเคลื่อนไหว
ต่อต้านคสช.เพียงแต่รอเวลาให้ คสช. สะดุดขาตัวเองก็พอ เพราะเชื่อว่า คสช. จะอยู่ได้ไม่เกิน 1 ปี
ดูไปดูมานักการเมืองบ้านเราเลือดเย็นกับประเทศชาติอยู่ไม่น้อย เพราะคล้ายจะดีอกดีใจ นั่งนับวันนับคืน
ให้รัฐบาลประยุทธ์บริหารประเทศไม่สำเร็จ เศรษฐกิจไม่รุดหน้า โดยที่ไม่รู้สึกผิดหรือรู้สึกรู้สาว่าปัญหา
บ้านเมือง เศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ตัวเองก็มีส่วนอย่างมากในการก่อปัญหา
อย่างเรื่องเงินค่าจำนำข้าว รัฐบาลไหนล่ะที่ทำให้ชาวนาผูกคอตายไปกว่า 10 ราย เพราะไม่ได้รับเงิน
ค่าจำนำข้าวจนต้องไปกู้หนี้ยืมสิน
แต่เมื่อ คสช. มาปลดล็อกและสามารถจ่ายเงินให้ชาวนาได้ ใครบางคนกลับดีใจที่ชาวนาจะไม่เหลือเงิน
ไปจับจ่ายซื้อสินค้าเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเพราะต้องนำไปใช้หนี้เจ้าหนี้หมด
หรืออย่างเรื่องท่องเที่ยวลืมไปแล้วหรือว่านักท่องเที่ยวเลิกมาเมืองไทยตั้งแต่รัฐบาลของน้องสาว
คนแดนไกลออกพ.ร.ก.ฉุกเฉินเมื่อต้นปีนี้แล้ว เพราะบริษัททัวร์ไม่กล้าพานักท่องเที่ยวมาเที่ยว
อีกทั้งในช่วงนั้นเกิดความไม่ปลอดภัย เพราะคนในเครือข่ายของคนแดนไกลใช้อาวุธสงครามร้ายแรง
ถล่มกรุงเทพฯ ฆ่าคนทุกวัน นักท่องเที่ยวที่ไหนจะมา
หลัง คสช. ยึดอำนาจและบ้านเมืองสงบต่างหากที่นักท่องเที่ยวเริ่มกลับมาเมืองไทย
จริงอยู่ การมีกฎอัยการศึกก็เป็นอุปสรรคส่วนหนึ่งที่ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวไม่ฟื้นกลับมามากในระดับเดิม
แต่ถ้าเทียบแล้วยังมีความปลอดภัยกว่าสมัยของรัฐบาลน้องสาวคนแดนไกล
ส่วนยอดขายรถยนต์ที่ดิ่งหนักในครึ่งปีแรกก็เป็นฝีมือของรัฐบาลน้องสาวคนแดนไกลจากโครงการ
รถยนต์คันแรกที่ไปสร้างความต้องการเทียมขึ้นมาโดยไปดึงเอาความต้องการซื้อใน2-3 ปีข้างหน้า
มาใช้ให้หมดในปีเดียว
ผลก็เป็นอย่างที่เห็น คือทำให้สต๊อกรถยนต์ของบริษัทรถยนต์เหลือบานเบอะ แถมมีคนทิ้งรถเพราะ
ผ่อนไม่ไหวอีกนับแสนราย
สําหรับการมีกฎอัยการศึกนั้น ก็ต้องย้อนกลับไปถามอีกเช่นกันว่าใครบ้างที่เป็นต้นเหตุ จะมีใครฝ่ายเดียว
ปฏิเสธความรับผิดชอบได้หรือ เพราะตอนที่ตัวเองเป็นรัฐบาล มีอำนาจ ทำไมจึงปล่อยให้มีการใช้อาวุธ
สงครามกันแบบไม่กลัวกฎหมาย
ขณะเดียวกัน หากยกเลิกกฎอัยการศึก อาจมีความเสี่ยงที่สถานการณ์จะกลับไปเหมือนเดิม คือมีการชุมนุมอีก
ซึ่งก็จะทำให้ความเชื่อมั่นของต่างชาติหายไปได้อีกเหมือนกัน ดังนั้น การยกเลิกกฎอัยการศึก จึงต้องชั่ง
น้ำหนักให้ดีและตัดสินใจยากพอสมควร
หากไม่ยกเลิก ก็จะทำให้ต่างชาติยังไม่กล้าเข้ามาลงทุนเต็มที่ เช่นการลงทุนในตลาดหุ้น แต่หากยกเลิก
และเกิดการชุมนุมและมีความรุนแรงอีก สิ่งที่จะหายไปทันทีคือนักท่องเที่ยวต่างชาติ ดังนั้น หากไม่ยก
เลิกกฎอัยการศึก คสช. และรัฐบาลก็ต้องแก้เกมตรงนี้ให้ได้
การที่ซีกการเมืองที่เสียประโยชน์จากการยึดอำนาจ ออกมาเรียกร้องให้เลิกกฎอัยการศึก ดูเผินๆ
อาจหวังดีว่าอยากให้ต่างชาติมองไทยดีขึ้น แต่อีกด้านหนึ่งอาจหมายถึงการเตรียมพร้อมขย้ำ ด้วย
การก่อหวอดสร้างแรงต่อต้าน คสช.
สำคัญเหนืออื่นใด คำสบประมาทข้างต้นจากฝ่ายตรงข้ามที่เชื่อว่า คสช. และรัฐบาลจะสะดุดขาตัวเอง
จากปัญหาเศรษฐกิจ เป็นสิ่งท้าทาย พล.อ.ประยุทธ์ อย่างมากว่าจะลบคำสบประมาทนั้นได้หรือไม่
คงจะดีถ้าคณะรัฐบาลชุดนี้ พิสูจน์ให้เห็นว่าทหารก็รู้เรื่องเศรษฐกิจ เข้าใจโลกทุนนิยม ตามกระแสโลกทัน
ไวต่อการรับรู้อารมณ์ของสังคม
หากทำสำเร็จอาจเป็นข้อพิสูจน์ว่า บางทีทุนนิยมเอกชนภายใต้ระบอบประชาธิปไตยนั้นมักล้มเหลว
แบบเดียวกับที่สหรัฐอเมริกาล้มเหลวครั้งร้ายแรงในปี 2008 เมื่อเกิดวิกฤตการเงินจนถล่มโลกเกือบราบคาบ
บางทีทุนนิยมที่เรียกว่า state capitalism หรือทุนนิยมโดยรัฐยุคใหม่ภายใต้สังคมนิยม แบบเดียวกับที่จีน
ประสบความสำเร็จในการผลักดันเศรษฐกิจมาแล้ว อาจเป็นทางเลือกที่น่าจับตามอง อย่างที่ชาติตะวันตก
บางประเทศก็เริ่มให้ความสนใจแนวทางของจีน
เศรษฐกิจทุนนิยมเอกชนแบบอเมริกาภายใต้ระบอบประชาธิปไตยที่สร้างบาดแผลฉกรรจ์ให้กับหลายประเทศ
ทำให้เมื่อไม่นานมานี้นายกรัฐมนตรีฮังการี(ซึ่งปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย) ได้ออกมากล่าวว่า อยาก
จะละทิ้งประชาธิปไตยเสรีนิยมเพื่อไปเป็นประเทศที่มีเสรีภาพน้อย (แต่ประสบความสำเร็จทางเศรษฐกิจ)
อย่างจีนและรัสเซียดีกว่า
อาจารย์มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดคนหนึ่ง บอกว่าตะวันตกบางชาติ ไม่ได้มองอเมริกาเป็นแม่แบบอีกต่อไป
พวกเขากำลังมองไปที่จีน (ในแง่ความสำเร็จทางเศรษฐกิจ)
state capitalism ยุคปัจจุบันดังที่จีนและโซเวียตได้แสดงให้เห็น ไม่เหมือนกับทุนนิยมรัฐยุคโซเวียต ซึ่งบรรดา
ข้าราชการกระหน่ำสร้างโรงงานผลิตสินค้าขึ้นมาโดยไม่สนใจและไม่รู้เรื่องความต้องการของตลาด
แต่ในปัจจุบันทั้งจีนและรัสเซียแม้ผู้นำจะผูกขาดอำนาจทางการเมืองแต่ในด้านเศรษฐกิจพวกเขากลับ
รู้จักทำกำไรรู้จักดัชนีตลาดหุ้นและสนใจอัตราดอกเบี้ยโลกแบบเดียวกับที่พวกวอลล์สตรีตรู้จักหากำไร
วลาดิเมียร์ปูติน และ สี จิ้น ผิง เป็น strongmen (ผู้นำที่มีอำนาจเข้มแข็ง) ที่รู้จักตัวเลข ซึ่งหมายถึงรู้เรื่อง
เศรษฐกิจในระบบทุนนิยมนั่นเอง
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1410236417
ต้องไม่ลืม เจ๊นงนุช .... she คิดถึงแต่ คนแดนไกล ทุกลมหายใจ เข้า-ออก
ไม่รู้ได้ค่าเขียน จากค่ายไหน บ้างหรือเปล่า เขียนแล้ว ใครได้ ใครเสีย เครดิต
อ่านดูก็แล้วกัน